หางานทำ งานพิเศษทำที่บ้าน งานเสริม หลังเลิกงาน รับงานกับไปทำที่บ้านได้ เงินดี

หางานทำ งานพิเศษทำที่บ้าน งานเสริม หลังเลิกงาน รับงานกับไปทำที่บ้านได้ เงินดี
หางานทำ งานพิเศษทำที่บ้าน งานเสริม หลังเลิกงาน รับงานกับไปทำที่บ้านได้ เงินดี
หางานทำ งานพิเศษทำที่บ้าน งานเสริม หลังเลิกงาน รับงานกับไปทำที่บ้านได้ เงินดี แนะนำผู้ที่สนใจอยากหางานเสริมรายได้ ทำอยู่ที่บ้าน ง่ายๆ เพียงคีย์ข้อมูล ผ่านเน็ต ตามไฟล์งานที่จัดเตรียมไว้ให้ ทำงานประมาณวันละ 2-3 ช.ม/วัน ไม่กระทบต่อการทำงาน และการเรียน เหมาะสำหรับนิสิต นักศึกษา ข้าราชการ พนักงานประจำ คนว่างงาน ตกงาน แม่บ้าน คนท้อง หรือบุคคลทั่วไป ที่ต้องการอยากมีรายได้เสริม เชิญทางนี้ค่ะ สนใจติดต่อ

งานเสริมทำที่บ้าน งานพิเศษ อาชีพเสริมจากงานประจำ รับงานกับมาทำที่บ้าน

งานเสริมทำที่บ้าน งานพิเศษ อาชีพเสริมจากงานประจำ รับงานกับมาทำที่บ้าน
งานเสริมทำที่บ้าน งานพิเศษ อาชีพเสริมจากงานประจำ รับงานกับมาทำที่บ้าน
งานเสริมทำที่บ้าน งานพิเศษ อาชีพเสริมจากงานประจำ รับงานกับมาทำที่บ้าน เป็นงานพาร์ทไทม์ คีย์ข้อมูล ผ่านเน็ต เพียงแค่คุณสามารถใช้คอมพิวเตอร์เป็น ก็สามารถทำงานตรงนี้ เป็นงานเสริมรายได้ ในช่วงเวลาว่าง เสาร์อาทิตย์ หรือหลังเลิกงาน เลิกเรียน ทำงานประมาณวันละ 1-3 ช.ม/วัน รายได้จ่ายรายวัน เหมาะสำหรับผู้ต้องการหางานเสริม ทำอยู่ที่บ้าน งานง่ายๆ เงินดี สนใจติดตต่อรายละเอียดด้านล่างค่ะ

อาเซียน 10 ประเทศ ที่คุณควรรู้จัก

อาเซียน 10 ประเทศ ที่คุณควรรู้จัก

อาเซียน 10 ประเทศ ที่คุณควรรู้จัก
อาเซียน หรือ สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Association of South East AsianNations ประกอบด้วย 10 ประเทศ 

ซึ่งวัตถุประสงค์ของการก่อตั้งอาเซียน คือ เพื่อส่งเสริมความเข้าใจอันดีต่อกันระหว่างประเทศในภูมิภาค ธำรงไว้ซึ่งสันติภาพเสถียรภาพ และความมั่นคงทางการเมือง สร้างสรรค์ความเจริญก้าวหน้าทางด้านเศรษฐกิจ 

การพัฒนาทางสังคมและวัฒนธรรมการกินดีอยู่ดีของประชาชนบนพื้นฐานของความเสมอภาคและผลประโยชน์ร่วมกันของประเทศสมาชิก

ยิ่งใกล้ AEC หรือ ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน เข้ามาทุกที แต่ละประเทศ ก็จะมีความสำคัญที่แตกต่างกัน ลองมาทำความรู้จักกับ 10 ประเทศอาเซียน

1.บรูไน ดารุสซาลาม (Brunei Darussalam)

บรูไน ดารุสซาลาม (Brunei Darussalam)
บรูไน ดารุสซาลาม (Brunei Darussalam)

บรูไน เป็นประเทศที่ตลาดเปิดแบบเสรี ภายใต้การดูแลของรัฐ รายได้หลักของประเทศ จะมาจากน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ และนับเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ อันดับที่ 4 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 

และมีสินค้านำเข้าส่วนใหญ่จากสิงคโปร์ อังกฤษ สหรัฐอเมริกา โดยเป็นสินค้าประเภท เครื่องจักรอุตสาหกรรม รถยนต์ เครื่องมือเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ และสินค้าเกษตร

เมืองหลวง : บันดาร์ เสรี เบกาวัน
ภาษา : ภาษามาเลย์ เป็นภาษาราชการ รองลงมาเป็นอังกฤษและจีน
ประชากร : ประกอบด้วย มาเลย์ 66%, จีน11%,อื่นๆ 23%
นับถือศาสนา : อิสลาม 67%, พุธ 13%, คริสต์ 10%
ระบบการปกครอง : ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์

2.กัมพูชา (Cambodia)


กัมพูชา (Cambodia)
กัมพูชา (Cambodia)
กัมพูชา เป็นประเทศที่เกิดสงครามภายในมายาวนาน และมีการยุติลงในปี 2534 จึงค่อยๆ มีการพัฒนาประเทศ โดยกัมพูชากำหนดนโยบายมุ่งการพัฒนาทางการเกษตร การท่องเที่ยว และมีการส่งเสริมการลงทุนจากต่างชาติ

เมืองหลวง : กรุงพนมเปญ
ภาษา : ภาษาเขมร เป็นภาษาราชการ รองลงมาเป็นอังกฤษ, ฝรั่งเศส, เวียดนามและจีน
ประชากร : ประกอบด้วย ชาวเขมร 94%, จีน 4%,อื่นๆ 2%
นับถือศาสนา : พุทธ(เถรวาท) เป็นหลัก
ระบบการปกครอง : ประชาธิปไตยแบบรัฐสภา โดยมีพระมหากษัตย์เป็นประมุขภายใต้รัฐธรรมนูญ

3.อินโดนีเซีย (Indonesia)

อินโดนีเซีย (Indonesia)
อินโดนีเซีย (Indonesia)
ประเทศอินโดนีเซีย เป็นประเทศที่ประกอบไปด้วยภาคการผลิต ที่สำคัญ 4 ส่วน ได้แก่ ภาคบริการ ภาคหัตถอุตสาหกรรม ภาคเกษตรกรรม และเหมืองแร่ 

นอกจากนี้ยังเป็นประเทศที่มีแหล่งทรัพยากรรธรรมชาติที่มีค่าทางเศรษฐกิจสมบูรณ์ เช่น น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน ดีบุก ทองแดง แร่เหล็ก เป็นต้น 

เมืองหลวง : จาการ์ตา
ภาษา : ภาษาอินโดนีเซีย เป็นภาษาราชการ
ประชากร : ประกอบด้วย ชนพื้นเมืองหลายกลุ่ม มีภาษามากกว่า 583 ภาษา ร้อยละ 61 อาศัยอยู่บนเกาะชวา
นับถือศาสนา : อิสลาม 87%, คริสต์ 10%
ระบบการปกครอง : ประชาธิปไตยที่มีประธานาธิปดีเป็นประมุข และหัวหน้าฝ่ายบริหาร

4.ลาว (Laos)

ลาว (Laos)

ประเทศลาว มีแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง โดยมีการเติบโตจากประเทศคู่ค้าสำคัญอย่าง ลาว จีน ไทย เวียดนาม ด้วยภาคผลิตการเกษตร ป่าไม้ 

เมืองหลวง : นครหลวงเวียงจันทร์
ภาษา : ภาษาลาว เป็นภาษาราชการ
ประชากร : ประกอบด้วย ชาวลาวลุ่ม 68%, ลาวเทิง 22%, ลาวสูง 9% รวมประมาณ 68 ชนเผ่า
นับถือศาสนา : 75% นับถือพุทธ, นับถือผี 16%
ระบบการปกครอง : สังคมนิยมคอมมิวนิสต์ (ทางการลาวใช้คำว่า ระบบประชาธิปไตยประชาชน)

5.มาเลเซีย (Malaysia)

มาเลเซีย (Malaysia)
มาเลเซีย (Malaysia)

มาเลเซีย เป็นอีกประเทศที่พึ่งพาเหมืองแร่ และการส่งออกสินค้าเกษตร เช่น ปาล์มน้ำมัน ยางพารา ไม้ซุง และดีบุก และมีรายได้หลักมาจากการผลิตสินค้าและบริการ 

โดยเฉพาะยางพารา และปาล์มน้ำมัน มีการพัฒนามากขึ้น ทำให้ภายในประเทศมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น

เมืองหลวง : กรุงกัวลาลัมเปอร์
ภาษา : ภาษามาเลย์ เป็นภาษาราชการ รองลงมาเป็นอังกฤษและจีน
ประชากร : ประกอบด้วย มาเลย์ 40%, จีน33%, อินเดีย 10%, ชนพื้นเมืองเกาะบอร์เนียว 10%
นับถือศาสนา : อิสลาม 60%, พุธ 19%, คริสต์ 11%
ระบบการปกครอง : ประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา

6.พม่า (Myanmar)

พม่า (Myanmar)
พม่า (Myanmar)
อาชีพหลักของ ประชาชนในประเทศ จะเป็นการเกษตรกร เช่น การปลูกข้าวเจ้า อ้อย และพืชเมืองร้อน การทำเหมืองแร่ การทำป่าไม้ อุตสาหกรรม พม่าเป็นประเทศกำลังพัฒนา และมีรายได้เฉลี่ยต่อบุคคลในเกณฑ์ต่ำ

เมืองหลวง : เนปีดอ (Naypyidaw)
ภาษา : ภาษาพม่า เป็นภาษาราชการ
ประชากร : ประกอบด้วยเผ่าพันธุ์ 135 มี 8 เชื้อชาติหลักๆ 8 กลุ่ม คือ พม่า 68%, ไทยใหญ่ 8%, กระเหรี่ยง 7%, ยะไข่ 4% จีน 3% มอญ 2% อินเดีย 2%
นับถือศาสนา : นับถือพุทธ 90%, คริสต์ 5% อิสลาม 3.8%
ระบบการปกครอง : เผด็จการทางทหาร ปกครองโดยรัฐบาลทหารภายใต้สภาสันติภาพและการพัฒนาแห่งรัฐ

7.ฟิลิปปินส์ (Philippines)

ฟิลิปปินส์ (Philippines)
ฟิลิปปินส์ (Philippines)

ปัญหาความยากจน เป็นปัญหาที่มีมายาวนาน และมีการกระจายรายได้โดยไม่เท่าเทียมกัน และยังประสบปัญหาราคาน้ำมันแพง ฟิลิปินส์ มีสินค้านำเข้า ได้แก่ ก๊าซธรรมชาติ น้ำมัน เหล็ก ชิ้นส่วนประกอบรถยนต์

เมืองหลวง : กรุงมะนิลา
ภาษา : ภาษาฟิลิปิโน และภาษาอังกฤษ เป็นภาษาราชการ รองลงมาเป็น สเปน, จีนฮกเกี้ยน, จีนแต้จิ๋ว ฟิลิปปินส์ มีภาษาประจำชาติคือ ภาษาตากาล็อก
ประชากร : ประกอบด้วย มาเลย์ 40%, จีน33%, อินเดีย 10%, ชนพื้นเมืองเกาะบอร์เนียว 10%
นับถือศาสนา : คริสต์โรมันคาทอลิก 83% คริสต์นิกายโปรเตสแตนต์, อิสลาม 5%
ระบบการปกครอง : ประชาธิปไตยแบบประธานาธิปดีเป็นประมุขและหัวหน้าฝ่ายบริหาร

8.สิงคโปร์ (Singapore)

สิงคโปร์ (Singapore)
สิงคโปร์ (Singapore)
สิงคโปร์เป็นประเทศที่ประสบความสำเร็จจากการเปิดเสรีทางการค้า และมีรายได้ประชาชาติต่อหัวสูงเท่ากับกลุ่มประเทศในยุโรป

เมืองหลวง : สิงคโปร์
ภาษา : ภาษามาเลย์ เป็นภาษาราชการ รองลงมาคือจีนกลาง ส่งเสริมให้พูดได้ 2 ภาษาคือ จีนกลาง และให้ใช้อังกฤษ เพื่อติดต่องานและชีวิตประจำวัน
ประชากร : ประกอบด้วยชาวจีน 76.5%, มาเลย์ 13.8%, อินเดีย 8.1%
นับถือศาสนา : พุทธ 42.5%, อิสลาม 14.9%, คริสต์ 14.5%, ฮินดู 4%, ไม่นับถือศาสนา 25%
ระบบการปกครอง : สาธารณรัฐ (ประชาธิปไตยแบบรัฐสภา มีสภาเดียว) โดยมีประธานาธิปดีเป็นประมุข และนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร

9.เวียดนาม (Vietnam)

เวียดนาม (Vietnam)
เวียดนาม (Vietnam)

สินค้าส่งออกที่สำคัญของเวียดนาม จะเป็นประเภทสิ่งทอ เสื้อผ้าสำเร็จรูป และยังเป็นประเทศที่ดึงดูดนักลงทุนเป็นอย่างมาก เพราะว่า มีประชากรจำนวนมาก และค่าจ้างแรงงานต่ำ อีกทั้งชาวเวียดนาม ยังมีอุปนิสัยขยันอีกด้วย

เมืองหลวง : กรุงฮานอย
ภาษา : ภาษาเวียดนาม เป็นภาษาราชการ
ประชากร : ประกอบด้วยชาวเวียด 80%, เขมร 10%
นับถือศาสนา : พุทธนิกายมหายาน 70%, คริสต์ 15%
ระบบการปกครอง : ระบบสังคมนิยม โดยพรรคคอมมิวนิสต์เป็นพรรคการเมืองเดียว

10.ประเทศไทย (Thailand)

เวียดนาม (Vietnam)
เวียดนาม (Vietnam)
ประเทศไทย มีสินค้าส่งออกได้แก่ คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ส่วนประกอบรถยนต์ แผงวรจรไฟฟ้า ยางพารา เม็ดพลาสติก อัญมณีและเครือ่งประดับ และผลิตภัณฑ์เครื่องรับวิทยุโทรทัศน์ รวมไปถึงส่วนประกอบ 

นอกจากนี้ยังนำเข้าน้ำมันดิบ รถยนต์ เงินแท่งและทองคำ 

เมืองหลวง : กรุงเทพมหานคร
ภาษา : ภาษาไทย เป็นภาษาราชการ
ประชากร : ประกอบด้วยชาวไทยเป็นส่วนใหญ่
นับถือศาสนา : พุทธนิกายเถรวาท 95%, อิสลาม 4%
ระบบการปกครอง : ระบบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

บทความนี้แนะนำจากเว็บไซต์ หางานพิเศษมาทำที่บ้าน

หางานเสริมหลังเลิกงาน งานพิเศษ หลังเลิกงาน งานพาร์ทไทม์ ทำที่บ้าน

หางานเสริมหลังเลิกงาน งานพิเศษ หลังเลิกงาน งานพาร์ทไทม์ ทำที่บ้าน

หางานเสริมหลังเลิกงาน งานพิเศษ หลังเลิกเรียน งานพาร์ทไทม์ ทำที่บ้าน เป็นงานคีย์ข้อมูล สามารถรับงานกับมาทำที่บ้านได้ ทำงานผ่านเน็ต เพียงคุณใช้คอมพิวเตอร์เป็น สามารถเริ่มงานได้ทันที ทางเรามีการสอนงานให้ ไม่กระทบต่อการทำงาน และการเรียน สนใจติดต่อ

รับงานทำที่บ้าน หางานพิเศษ หลังเลิกเรียน รายได้เสริม หลังเลิกงาน



รับงานทำที่บ้าน หางานพิเศษ หลังเลิกเรียน รายได้เสริม หลังเลิกงาน
รับงานทำที่บ้าน หางานพิเศษ หลังเลิกเรียน รายได้เสริม หลังเลิกงาน เป็นงานพาร์ทไทม์ เสาร์ อาทิตย์ สามารถรับงานกับมาทำที่บ้านได้ งานง่ายๆ เพียงคุณคีย์ข้อมูล ตามไฟล์งาน ที่บริษัทจัดเตรียมไว้ให้ เหมาะสำหรับนิสิตนักศึกษา และบุคคลทั่วไป ที่ต้องการหางานเสริมรายได้ ในช่วงเวลาว่าง รับงานกับไปทำที่บ้านได้ เพียงใช้คอมพิวเตอร์เป็น สามารถเริ่มงานได้ทันที สนใจติดต่อ

รับงานทำที่บ้าน หางานพิเศษ หลังเลิกเรียน รายได้เสริม หลังเลิกงาน

หางานทำ รับงานพิเศษ ทำที่บ้าน งานเสริม สร้างรายได้ ช่วงเวลาว่าง เสารอาทิตย์

หางานทำ รับงานพิเศษ ทำที่บ้าน งานเสริม สร้างรายได้ ช่วงเวลาว่าง เสารอาทิตย์

หางานทำ รับงานพิเศษ ทำที่บ้าน งานเสริม สร้างรายได้ ช่วงเวลาว่าง เสาร์อาทิตย์ เพียงคีย์ข้อมูล ผ่านเน็ต วันละ 2-3 ช.ม ไม่กระทบต่อการทำงาน และการเรียน ท่านสามารถ รับงานทำที่บ้านได้ ถ้าคุณใช้คอมพิวเตอร์เบื้องต้นได้ สามารถเริ่มทำงานได้ทันที ทางเรามีการสอนใช้เวลาไม่เกิน 30 นาที เริ่มงานได้ทันที รายได้จ่ายรายวัน สนใจติดต่อ

หางานทำ รับงานพิเศษ ทำที่บ้าน งานเสริม สร้างรายได้ ช่วงเวลาว่าง เสารอาทิตย์

รับสมัครคนหางานทำ งานเสริมหลังเลิกงาน รายได้พิเศษ ทำที่บ้าน เสาร์อาทิตย์ ช่วงเย็น

รับสมัครคนหางานทำ งานเสริมหลังเลิกงาน รายได้พิเศษ ทำที่บ้าน เสาร์อาทิตย์ ช่วงเย็น

รับสมัครคนหางานทำที่บ้าน งานเสริมหลังเลิกงาน รายได้พิเศษ  เสาร์อาทิตย์ ช่วงเย็น เป็นงานพาร์ทไทม์ คีย์ข้อมูล สามารถรับงานกับไปทำที่บ้านได้ เพียงคุณใช้คอมพิวเตอร์เป็น ทางเรามีการสอนงานให้ฟรี ไม่กระทบต่อการทำงาน และการเรียน รายได้จ่ายรายวัน เงินดี อ่นรายละเอียดด้านล่างค่ะ

รับสมัครคนหางานทำ งานเสริมหลังเลิกงาน รายได้พิเศษ ทำที่บ้าน เสาร์อาทิตย์ ช่วงเย็น

หางานทำ งานพิเศษทำที่บ้าน งานเสริมหลังเลิกงาน หลังเลิกเรียน จ่ายรายวัน

หางานทำ งานพิเศษทำที่บ้าน งานเสริมหลังเลิกงาน หลังเลิกเรียน จ่ายรายวัน

หางานทำ งานพิเศษทำที่บ้าน งานเสริมหลังเลิกงาน หลังเลิกเรียน เป็นงานพาร์ทไทม์ คีย์ข้อมูล สามารถรับงานกับไปทำที่บ้านได้ งานง่ายๆ เพียงคุณใช้คอมพิวเตอร์เป็น สามารถเริ่มงานได้ทันที ไม่กระทบต่อการทำงาน และการเรียน รายได้จ่ายรายวัน รายละเอียด ติดต่อสอบถามได้ค่ะ

หางานทำ งานพิเศษทำที่บ้าน งานเสริมหลังเลิกงาน หลังเลิกเรียน จ่ายรายวัน

เทศบาลตำบลท่าสายลวด จ.ตากเปิดรับสมัครสอบ งานราชการ 2556

เทศบาลตำบลท่าสายลวด จ.ตากเปิดรับสมัครสอบ งานราชการ 2556
เทศบาลตำบลท่าสายลวด อ.แม่สอด จ.ตาก ประกาศรับสมัครสอบแข่งขันเพื่อบรรจุแต่งตั้งบุคคลเป็นพนักงานเทศบาลสามัญ ประจำปี พ.ศ. 2556 จำนวน 11 อัตรา

ตำแหน่งและจำนวนที่รับสมัครสอบแข่งขัน

ตำแหน่งสายงานที่เริ่มต้นจากระดับ ๑
  (1) ตำแหน่งเจ้าหน้าที่เทศกิจ จำนวน ๑ อัตรา
  (2) ตำแหน่งเจ้าหน้าที่ธุรการ จำนวน 2 อัตรา


ตำแหน่งสายงานที่เริ่มต้นจากระดับ ๒
   (1) ตำแหน่งเจ้าพนักงานสาธารณสุขชุมชน จำนวน ๑ อัตรา
   (2) ตำแหน่งเจ้าพนักงานการเงินและบัญชี จำนวน ๑ อัตรา
   (3) ตำแหน่งเจ้าพนักงานพัสดุ จำนวน ๑ อัตรา
   (4) ตำแหน่งเจ้าพนักงานส่งเสริมการท่องเที่ยว จำนวน ๑ อัตรา
   (5) ตำแหน่งนายช่างโยธา จำนวน ๑ อัตรา

ตำแหน่งสายงานที่เริ่มต้นจากระดับ ๓
   (๑) ตำแหน่งบุคลากร จำนวน ๑ อัตรา
   (๒) ตำแหน่งนักวิชาการสาธารณสุข จำนวน ๑ อัตรา
   (๓) ตำแหน่งพยาบาลวิชาชีพ จำนวน ๑ อัตรา

ปฏิบัติงานที่: ตาก
วิธีการสมัครงานราชการเทศบาลตำบลท่าสายลวด จ.ตาก :
ยื่นใบสมัคร ณ สำนักงานเทศบาลตำบลท่าสายลวด อ.แม่สอด จ.ตาก
เปิดรับสมัครตั้งแต่: 6 – 28 ส.ค. 2556
ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิ์สอบ: 30 ส.ค. 2556
สอบวันที่:   2556
ประกาศผลสอบ: 3 ต.ค. 2556

รายละเอียด/ประกาศรับสมัครสอบ คลิกที่นี่!!

หางานทำ งานพิเศษทำที่บ้าน งานเสริมหลังเลิกงาน เสาร์อาทิตย์ หลังเลิกเรียน

หางานทำ งานพิเศษทำที่บ้าน งานเสริมหลังเลิกงาน เสาร์อาทิตย์ หลังเลิกเรียน

หางานทำ งานพิเศษทำที่บ้าน งานเสริมหลังเลิกงาน เสาร์อาทิตย์ หลังเลิกเรียน เปิดรับสมัครผู้ที่สนใจต้องการหางานทำ เป็นงานเสริมรายได้ งานพิเศษระหว่างเรียน หลังเลิกงาน ในวันหยุดเสาร์อาทิตย์ ช่วงเวลาว่าง สามารถรับงานกับไปทำที่บ้านได้ งานง่ายๆเพียงคีย์ข้อมูล ผ่านเน็ต ตามที่บริษัทมีไว้ให้ รายได้จ่ายเป็นรายวัน สนใจติดต่อค่ะ

หางานทำ งานพิเศษทำที่บ้าน งานเสริมหลังเลิกงาน เสาร์อาทิตย์ หลังเลิกเรียน

หางานทำ : หารายได้เสริม หลังเลิกงาน หลังเลิกเรียน อาชีพอิสระทำที่บ้าน ทำเงิน

หางานทำ : หารายได้เสริม หลังเลิกงาน หลังเลิกเรียน อาชีพอิสระทำที่บ้าน ทำเงิน

หางานทำ : หารายได้เสริม หลังเลิกงาน หลังเลิกเรียน อาชีพอิสระทำที่บ้าน ทำเงิน รับสมัครผู้ที่สนใจต้องการหางานทำทำที่บ้าน เป็นรายได้เสริม ในช่วงเวลาว่าง หลังเลิกงาน หลังเลิกเรียน วันหยุดเสาร์อาทิตย์ สามารถรับงานกับไปทำที่บ้านได้ เป็นงานอิสระ ไม่ฟิกเวลาในการทำงาน งานง่านๆ จ่ายรายวัน ทำงานผ่านเน็ต เพียงคีย์ข้อมูล ทำประมาณ 1-3 ช.ม/วัน

หางานทำ : หารายได้เสริม หลังเลิกงาน หลังเลิกเรียน อาชีพอิสระทำที่บ้าน ทำเงิน

หางานพิเศษทำที่บ้าน งานเสริมรายได้ งานพาร์ทไทม์ คีย์ข้อมูล เสาร์อาทิตย์

หางานพิเศษทำที่บ้าน งานเสริมรายได้ งานพาร์ทไทม์ คีย์ข้อมูล เสาร์อาทิตย์

หางานพิเศษทำที่บ้าน งานเสริมรายได้ งานพาร์ทไทม์ คีย์ข้อมูล เสาร์อาทิตย์ แนะนำผู้ที่สนใจต้องการหางานทำ งานพิเศษ รับงานไปทำที่ได้ ทำเป็นงานพาร์ทไทม์ คีย์ข้อมูล ในช่วงเวลาว่าง เสาร์ อาทิตย์ งานง่ายๆ รายได้ดี เหมาะสำหรับบุคคลทั่วไปที่ต้องการหารายได้พิเศษ ทำเป็นงานเสริมรายได้ จ่ายรายวัน สนใจติดต่อ

เปิดรับสมัครคนหางานทำ หางานพิเศษทำที่บ้าน งานพาร์ทไทม์ หลังเลิกงาน หลังเลิกเรียน

เปิดรับสมัครคนหางานทำ หางานพิเศษทำที่บ้าน งานพาร์ทไทม์

เปิดรับสมัครคนหางานทำ หางานพิเศษทำที่บ้าน งานพาร์ทไทม์ หลังเลิกงาน หลังเลิกเรียน เป็นรายได้เสริม ช่วงเวลาว่าง วันเสาร์อาทิตย์ ไม่กระทบกับการทำงาน และการเรียน เป็นงานคีย์ข้อมูล พิมพ์งานเอกสาร ตามไฟล์งานที่บริษัทจัดเตรียมไว้ให้ งานง่ายๆ เหมาะกับนักศึกษา คนทำงานประจำ ว่างงาน ตกงาน คนท้อง เพียงแค่มีเวลาว่างใช้คอมพิวเตอร์เป็นประจำอยู่แล้ว ไม่ฟิกเวลาการทำงาน สามารถเริ่มงานได้ทันที รายได้ดี จ่ายรายวัน สนใจติดต่อ

การบริหารงานบุคคล

การบริหารงานบุคคล

การบริหารงานบุคคล
ข้อหารือ หลักเกณฑ์และวิธีการ บริหารงานบุคคล
“คน”  เป็นหนึ่งในปัจจัยทางการบริหารที่สำคัญและยอมรับกันทั่วไป เรียกย่อ ๆ ว่า “4  M’  s”     อันประกอบด้วย บุคลากร หรือทรัพยากรมนุษย์ (Man)  เงิน (Money)  วัสดุ  อุปกรณ์ (Materials)  และการจัดการ (Management) จะพบว่าคนเป็นทรัพยากรที่สำคัญที่สุดในการบริหาร เพราะหากขาดกำลังคน ก็จะไม่มีตัวขับเคลื่อนปัจจัยอื่น ๆ นั่นเอง เพราะฉะนั้น ในแต่ละองค์กรจึงหันมาให้ความสำคัญในการบริหารคนในองค์กรเพิ่มมากขึ้น ซึ่งในปัจจุบันคือ การบริหารงานบุคคล

ความหมายของการบริหารงานบุคคล
คำว่า “การบริหารงานบุคคล”  มาจากภาษาอังกฤษที่ว่า “Personnel  Administration”   หรือ “Personnel  Management”  ซึ่งมีผู้ให้คำจำกัดความไว้อย่างหลากหลาย ดังนี้
เฟอริคซ์ เอ ไนโกร (Felix  A.  Nigro)   ได้ให้นิยมว่า “Personnel  Administration  is  the  art  of  selection  new  employees  and  making  use  of  old  ones  in  such  manner  that  the  maximum  quality  and  quantity  of  output  and  service  are  obtained  from  the  working  force”
แปลว่า“ศิลปะในการเลือกคนใหม่และใช้คนเก่า ในลักษณะที่จะให้ได้ผลงาน และบริการจากการปฏิบัติงานของบุคคลเหล่านั้น ทั้งด้านปริมาณและคุณภาพ”
สมพงศ์  เกษมสิน  มีความเห็นว่า “การบริหารงานบุคคลนั้น เป็นการจัดการ เกี่ยวกับบุคคลนับตั้งแต่การสรรหาบุคคลเข้ามาปฏิบัติงาน การดูแลบำรุงรักษา จนกระทั่งพ้นไปจากการปฏิบัติงาน”
ชูศักดิ์  เที่ยงตรง  กล่าวว่า “การบริหารงานบุคคล คือ การบริหารทรัพยากรมนุษย์ โดยมีจุดมุ่งหมาย เพื่อให้ได้คนดี มีคุณวุฒิ และมีความสามารถเหมาะสมกับตำแหน่งหน้าที่ มาทำงานด้วยความสนใจ พึงพอใจ อย่างมีประสิทธิภาพ และประสิทธิผล”
จะเห็นได้ว่า การบริหารงานบุคคลมิใช่เพียงการเลือกและแต่งตั้งคนเข้ามาทำงาน           เท่านั้น แต่เป็น     การดำเนินกิจกรรมการบริหารคนตั้งแต่เริ่มต้น นับตั้งแต่ก่อนบุคคลนั้นจะเข้าสู่องค์การ จนกระทั่งพ้นจากองค์การไป เพื่อให้สอดคล้องกับการบริหารองค์กรโดยรวม
หลักและระบบบริหารงานบุคคล

ระบบการบริหารงานบุคคลโดยทั่วไปที่นิยมใช้มี 2 ระบบด้วยกัน คือ
1. ระบบอุปถัมภ์ (Patronage  System หรือ Spoil System)  เป็นระบบดั้งเดิม โดยมีแหล่งกำเนิดมาจากจีนโบราณ ที่มักใช้การสืบทอดทางสายเลือด รวมไปถึง การนำสิ่งของ มาแลกตำแหน่ง   ลักษณะที่สำคัญ คือ
1) ไม่คำนึงถึงความรู้ ความสามารถ
2) ไม่เปิดโอกาสที่เท่าเทียมกันในการเลือกสรร
3) มักมีอิทธิพลทางการเมืองเข้ามาแทรกแซงกิจการภายในของหน่วยงาน
ข้อดี   -  รวดเร็ว แก้ไขสะดวก
-  มีความขัดแย้งในการตัดสินใจน้อย
-  เหมาะสมกับบางตำแหน่ง
-  สอดคล้องกับการปกครองที่มีระบบพรรคการเมือง
ข้อเสีย   -  ไม่มีหลักประกันว่าจะได้คนที่มีความรู้ ความสามารถ
-  มุ่งรับใช้คนมากกว่าหน่วยงาน
-  ขวัญกำลังใจของผู้ปฏิบัติงานไม่ดี
-  หน่วยงานพัฒนาได้ยาก
2. ระบบคุณธรรม (Merit  System)  เกิดจากความพยายามที่จะแก้ไขข้อบกพร่อง ของระบบอุปถัมภ์ โดยเป็นระบบการบริหารบุคคลที่อาศัยความรู้ ความสามารถของบุคคลเป็นหลัก ไม่คำนึงถึง     ความสัมพันธ์ส่วนตัว มีลักษณะสำคัญดังนี้
1)  หลักความสามารถ (Competence)  เป็นการถือความสามารถของบุคคลเป็นสำคัญ เพื่อให้เหมาะสมกับตำแหน่งหน้าที่ และต้องสามารถใช้ความรู้มาปฏิบัติงานให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวม             ได้อย่างเต็มที่
2)  หลักความเสมอภาค (Equality  Opportunity)  เป็นการให้โอกาสที่เท่าเทียมกัน แก่บุคคลทั้งในการเข้าสู่การเป็นราชการและอยู่ในระหว่างการเป็นข้าราชการ  ซึ่งเป็นแนวคิดตามหลัก ประชาธิปไตยที่ให้สิทธิเสมอภาคแก่บุคคลภายในขอบเขตของกฏหมาย  โดยถือว่าทุกคน จะต้องได้รับการปฏิบัติอย่างเสมอภาคด้วยคุณสมบัติและหลักเกณฑ์ที่อยู่ในมาตรฐานเดียวกัน
3)  หลักความมั่นคงในตำแหน่งหน้าที่ (Security  of  Tenure)  ซึ่งต้องได้รับการยอมรับ       และคุ้มครองตามกฎหมาย คือจะไม่ถูกปลดออกหรือไล่ออกจากงานโดยไม่มีเหตุที่พิสูจน์ได้  หลักการนี้    มุ่งให้ข้าราชการเกิดความมั่นคงถาวรในอาชีพ  และเกิดความรู้สึกมั่นคงที่จะแสวงหาความเจริญก้าวหน้า   ในหน้าที่ของตน โดยไม่ต้องคำนึงถึงเหตุผลส่วนตัวหรือทางการเมือง
4)  หลักความเป็นกลางทางการเมือง  (Political  Neutrality)  คือ การที่ข้าราชการประจำ      ต้องเป็นกลางทางการเมืองและสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ตามนโยบายของรัฐบาลอย่างเต็มความสามารถ     โดยไม่ขึ้นอยู่กับอิทธิพลของพรรคการเมืองหนึ่งพรรคการเมืองใด  แต่ยังคงสิทธิทางการเมือง เช่นเดียวกับประชาชนทั่วไป
ข้อดี   -  สอดคล้องกับระบบประชาธิปไตยที่เน้นความเสมอภาค
-  ได้คนดีมีความรู้ ความสามารถเข้ามาทำงาน
-  สร้างขวัญกำลังใจในการทำงาน
-  ช่วยหน่วยงานมีประสิทธิภาพ
ข้อเสีย   -  ล่าช้า
-  ค่าใช้จ่ายในการสอบแข่งขันสูง
-  สร้างความสัมพันธ์แบบเป็นทางการมากเกินไป
-  ทำได้ยาก เพราะต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่ายอย่างจริงจัง
วิวัฒนาการการบริหารงานบุคคลภาครัฐ

การบริหารงานบุคคลแบ่งออกเป็น 2 ยุคกว้าง ๆ  ดังนี้
1.ยุคโบราณ หรือยุคดั้งเดิม  แนวความคิดรูปแบบนี้ ได้รับอิทธิพล จากนักวิชาการหลายคน  โดยมีจุดเริ่มต้นจากงานเขียนเรื่อง  “The  study  of  Administration”  ของ วู้ดโร วิลสัน (Woodrow  Wilson)  ในปี ค.ศ. 1887  ซึ่งพยายามแยกการบริหารบุคคลออกจากกิจกรรม ทางการเมืองอย่างเด็ดขาด  และหลังจากนั้นก็มีงานเขียนของนักวิชาการอีกหลายคน โดยแนวคิดในยุคนี้ จะเป็นการมองการบริหารงานบุคคล ในวงแคบ คือ เกี่ยวกับกระบวนการบริหารงานตั้งแต่การสรรหา การคัดเลือก การสอบ การเลื่อนขั้น         การจำแนกตำแหน่งการฝึกอบรม การออกจากราชการ และประโยชน์เกื้อกูลต่าง ๆ เป็นต้น โดยไม่สนใจ    กับสิ่งแวดล้อมภายนอกมองการบริหารงานบุคคล เป็นกลไกของฝ่ายบริหารที่มีสำหรับการควบคุมบุคคล (Management  Control  Activity)  มากกว่า จะมองครอบคลุม  ถึงความสัมพันธ์ของสมาชิกในองค์การ (People  - connected Activity)
แนวความคิดในยุคนี้เป็นการรวมแนวความคิดในเรื่องการแยกการเมืองออกจากการบริหารอย่างเด็ดขาด เน้นความเป็นกลางทางการเมือง มีระบบคุณธรรมเป็นหัวใจในการบริหาร เป็นการบริหารที่มีลักษณะปราศจากค่านิยมเน้นแต่เทคนิคและประสิทธิภาพในการบริหารงาน และเป็นปัญหาทางการบริหารเท่านั้น ซึ่งแนวความคิดแบบโบราณนี้ ได้รับการท้าทาย และโจมตี จากนักวิชาการหลายท่าน นับแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา ซึ่งเป็นวิวัฒนาการไปสู่แนวทางที่ 2
  2.  ยุคใหม่  หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 นักวิชาการเริ่มเขียนบทความ โดยตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับ การแยกการบริหารออกจากการเมืองอย่างเด็ดขาดว่าทำได้จริงหรือไม่  นักวิชาการรุ่นใหม่ พยายามอธิบายว่าจริง ๆ แล้ว การบริหารนั้นจะมีค่านิยมทางการเมือง เข้าไปเกี่ยวข้องอยู่ตลอดเวลา ปัญหาการบริหารงานน่าจะพิจารณาในแง่การเมืองมากกว่าเทคนิค นอจากนี้อีกประเด็นหนึ่งที่โดนโจมตีเป็นอย่างมากคือ เรื่องของ   หลักประสิทธิภาพ โดยในงานเขียนของเฟอริคซ์ เอ ไนโกร และลอยด์ จี ไนโกร ที่มีชื่อว่า “The  New  Public  Personnel  Administration” กล่าวว่า หลักประสิทธิภาพมีจุดอ่อนในตัวมันเอง 2 ประการคือ จะเป็นตัวทำลาย มากกว่าเป็นตัวช่วยเหลือ      เจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติงาน และหลักประสิทธิภาพมุ่งเน้นแต่เฉพาะกรรมวิธี และเทคนิคในการทำงานโดยมองข้ามความเป็นมนุษย์ในองค์การใดโดยสิ้นเชิง

แนวความคิดที่ 2 นี้ จะมีมิติใหม่ของการบริหารงานบุคคล 3 ประการ คือ
1) เน้นหนักในการบริหารงานบุคคลในฐานะที่เป็นการเมืองมากขึ้น
2) ให้ความสำคัญกับค่านิยม
3) การจัดการเกี่ยวกับทรัพยากรมนุษย์ในองค์การ
อาจกล่าวได้ว่า แนวความคิดในยุคนี้มองการบริหารงานบุคคล เป็นระบบย่อย ของระบบการเมืองจึงอยู่ภายใต้สภาพแวดล้อมทางการเมือง ซึ่งพฤติกรรมของบุคลากร ในระบบจะถูกกำหนดโดยพลัง ในทางการเมือง ทั้งจากภายนอกและภายใน ระบบการคัดเลือกคน เข้าสู่ระบบราชการก็จะมุ่งเน้นเรื่อง ความเสมอภาคและความยุติธรรมเป็นสำคัญ
ดังนั้น จึงเน้นให้เกิดระบบราชการที่มีลักษณะสะท้อนความเป็นตัวแทน ของทุกกลุ่มของสังคม   จึงอาจสรุปได้ว่า ในยุคใหม่นี้จะเป็นการมองการบริหารงานบุคคลในแง่มุมที่กว้างขึ้น โดยมองที่ความสัมพันธ์ของบุคคลกับองค์กรและการปฎิสัมพันธ์ต่อกันในทุกมิติ มากกว่าที่จะมองแค่เป็น การควบคุมพฤติกรรม  ของบุคคลในองค์กรเช่นในยุคโบราณ

วิวัฒนาการการบริหารงานบุคคลภาครัฐในไทย
ระบบบริหารงานบุคคลภาครัฐในประเทศไทยมีวิวัฒนาการมาต่อเนื่องเป็นเวลายาวนานควบคู่กับระบบราชการ การเปลี่ยนแปลงแต่ละครั้งมักสืบเนื่องมาจากการปฏิรูประบบราชการ หรือการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเป็นสำคัญ ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 5 ยุคสำคัญ ดังนี้
1. ยุคระบบศักดินา – บรรดาศักดิ์
ยุคนี้ครอบคลุมช่วงเวลาตั้งแต่สมัยสุโขทัยเป็นต้นมาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น  ลักษณะการบริหารงานบุคคลทุกอย่างจะเป็นไปตามพระราชอัธยาศัยของพระมหากษัตริย์ ตลอดช่วงเวลานี้มีการปฏิรูปที่สำคัญอยู่ 2 ครั้ง กล่าวคือ ในสมัยพระบรมไตรโลกนาถ มีลักษณะ เป็นการปรับปรุงโครงสร้างของระบบราชการ ทำให้มีการแยกหน้าที่และความรับผิดชอบที่ชัดเจนขึ้น การใช้กำลังคนเริ่มเป็นไป ตามหน้าที่ความรับผิดชอบ และอีกครั้งในสมัยรัชกาลที่ 5 ถือเป็นการปฏิรูป ครั้งสำคัญยิ่ง ในขณะนั้นไทย มีการติดต่อกับต่างประเทศ จึงได้รับอิทธิพลจากตะวันตกเป็นอย่างมาก จึงมีการปฏิบัติการบริหารงานบุคคลตามแบบตะวันตก พร้อม ๆ กับการปฏิรูปการปกครองและการบริหาร       โดยพระองค์โปรดให้จัดตั้งกระทรวงขึ้น 12 กระทรวง แทน เวียง วัง คลัง และนา   ในแต่ละกระทรวงมีเสนาบดี เป็นผู้ปกครองผู้บังคับบัญชา และมีฐานะเท่าเทียมกัน ผลของการปฏิรูปก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ 5 ประการคือ
1) แยกราชการทหารออกจากข้าราชการฝ่ายพลเรือนอย่างเด็ดขาด
2) มีการจัดการศึกษาฝึกอบรมและสอบแข่งขันคนเข้ารับราชการตามระบบคุณธรรม ในกระทรวงมหาดไทย แทนการฝากฝังและชุบเลี้ยงในระบบอุปถัมภ์แบบที่มีมาก่อน
3) เลิก“ระบบกินเมือง” จัดระบบจ่ายเงินเดือนให้แก่ข้าราชการ รวมทั้ง มีการจัดประโยชน์ตอบแทนรูปต่าง ๆ
4) เปลี่ยนลักษณะข้าราชการหัวเมืองจากลักษณะ “ข้าราชการปกครอง” หรือ “นายประชาชน”  ซึ่งทำหน้าที่ปกครองประชาชน มาเป็น “ข้าราชการพลเรือน”  หรือ “เจ้าหน้าที่ของรัฐ”  ทำหน้าที่บำบัดทุกข์บำรุงสุขของประชาชนและบริหารราชการแผ่นดิน
5) ส่งเสริมให้ข้าราชการไปรับราชการหัวเมือง โดยให้คนท้องถิ่นได้รับราชการในท้องถิ่นนั้น ๆ และให้คนที่รับราชการตามหัวเมืองได้รับประโยชน์เร็วกว่าและยิ่งกว่าคนที่รับราชการในกรุง
ลักษณะสำคัญของการบริหารงานบุคคลในยุคนี้คือ การสรรหาบุคคลเข้ารับราชการขึ้นอยู่กับ      ดุลยพินิจของพระมหากษัตริย์ แต่ในช่วงตอนปลายยุค ดุลยพินิจในการเลือกสรรบุคคลเข้ารับราชการ         ได้ยกมาอยู่ในความรับผิดชอบของเจ้ากระทรวงเป็นสำคัญ กล่าวคือ เจ้ากระทรวงแต่ละกระทรวงมีอิสระ          ที่จะสรรหาคนเข้ารับราชการได้ แต่ก็ยังมิได้มีการกำหนดมาตรฐานคุณสมบัติ หรือการควบคุมมาตรฐาน   ในการบริหารงานบุคคลเป็นส่วนกลาง
2.ยุคระบบมีชั้นยศ(พ.ศ.2472–2475) ยุคนี้เป็นยุคแรก ที่นำระบบคุณธรรม มาใช้ในการบริหาร
งานบุคคลในราชการไทยในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 การเข้ารับราชการถือเป็นสิทธิของประชาชนทุกคนตามหลักความเสมอภาคในโอกาส   จึงมีการเปิดโอกาส          ให้คนที่มีความรู้ ความสามารถเข้ารับราชการโดยการเลือกสรร อย่างเป็นกลางและยุติธรรม    ข้าราชการทุกคนได้รับเงินเดือนตามบัญชีเงินเดือนกลาง การจัดระเบียบบริหารงานบุคคลของราชการ ได้ทำอย่างเป็นระบบ โดยมีกฎหมายเกี่ยวกับระบบบริหารงานบุคคลในภาคราชการฉบับแรก คือ พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2471 ซึ่งประกาศบังคับใช้ตั้งแต่ 1 เมษายน พ.ศ. 2471 มีหลักการของระบบคุณธรรม ซึ่งปรากฏ ตามพระราชปรารภในตราพระราชบัญญัตินี้ ความว่า
“โดยที่มีพระราชประสงค์จะวางระเบียบข้าราชการพลเรือนให้เป็นไปในทางเลือกสรร       ผู้มีความรู้ และความสามารถเข้ารับราชการเป็นอาชีพ ไม่มีกังวลด้วยการแสวงผลประโยชน์ในทางอื่น    ส่วนฝ่ายข้าราชการก็ให้ได้รับประโยชน์ยิ่งขึ้น เนื่องจากความสะพรั่งพร้อมด้วยข้าราชการ                             ซึ่งมีความสามารถและรอบรู้ในวิถีและอุบายของราชการ กับหน้าที่และวินัยอันตนพึงรักษาเป็นนิตยกาล”
ตามพระราชบัญญัตินี้กำหนดยศให้ข้าราชการพลเรือนคล้ายกับทหารด้วย การกำหนดเงินเดือน   เป็นไปตามยศ โดยยศข้าราชการพลเรือนมี 2 ชั้น คือ
1) ชั้นสัญญาบัตร  ประกอบด้วยยศต่าง ๆ คือ มหาอำมาตย์เอก มหาอำมาตย์โท มหาอำมาตย์ตรี รองมหาอำมาตย์เอก รองมหาอำมาตย์โท และรองมหาอำมาตย์ตรี
2) ชั้นราชบุรุษ มีชั้นยศตาเดียว คือ ราชบุรุษ
ในยุคนี้ประเทศไทยประกอบด้วยข้าราชการ 3 ประเภท คือ ข้าราชการทหาร ข้าราชการตุลาการ และข้าราชการพลเรือนข้าราชการพลเรือน จะมีบทบัญญัติตามพระราชบัญญัติ ระเบียบข้าราชการพลเรือนพ.ศ.2471 โดยมีคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน เป็นองค์กรควบคุมการบริหารงานบุคคล ส่วนข้าราชการตุลาการนั้นมีบทบัญญัติในการบริหารงานบุคคล ตามพระราชบัญญัติซึ่งออกมาในปีเดียวกัน    คือ พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลากรพ.ศ.2471 โดยมีคณะกรรมการข้าราชการตุลากร(ก.ต.)ทำหน้าที่เป็นองค์การกลาง ในการบริหารงานบุคคล
3.  ยุคระบบตำแหน่ง (พ.ศ. 2476 - 2478)  ในยุคภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง          จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นประชาธิปไตยในปี พ.ศ.2475 ได้มีแนวคิด เกี่ยวกับการจัดระบบราชการ และการบริหารงานบุคคลในราชการ ให้สอดคล้องและทันสมัย เช่นเดียวกับประเทศตะวันตก จึงได้มีการประกาศใช้ พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2476 ซึ่งกำหนดให้ยกเลิกยศและบรรดาศักดิ์ โดยเปลี่ยนโครงสร้างของระบบบริหารงานบุคคล มาใช้ตำแหน่งเป็นแกนหลักแทนชั้นยศ   มีการกำหนดเงินเดือนให้เป็นไปตามหน้าที่ของตำแหน่ง ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าการบริหารงานบุคคลในราชการพลเรือนช่วงนี้เป็นจุดเริ่มแรก ของการบริหารงานบุคคล ตามระบบตำแหน่งนั่นเอง
การปรับเปลี่ยนระบบบริหารงานบุคคลครั้งนี้ ดำเนินการอย่างเร่งรีบและค่อนข้าง       เฉพาะเจาะจงบังคับ ทำให้ยากแก่การสับเปลี่ยนโยกย้าย ไม่คล่องตัวในการบริหารงานบุคคล จึงนำไปสู่    การแก้ไขพระราชบัญญัติระเบียบบริหารงานบุคคลอีก ในปี พ.ศ. 2479 โดยกลับไปใช้ระบบชั้นยศ          เป็นแกนกลางเหมือนเดิม แต่ลดจำนวนชั้นให้เหลือเพียง 5 ชั้น
4. ยุคระบบมีชั้นและตำแน่ง (พ.ศ.2479 – 2517) ยุคนี้เป็นช่วงของการประกาศ ใช้พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน 5 ฉบับ
คือ พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2479, 2482, 2485, 2495 และ 2497
ซึ่งแต่ละฉบับมี  การกำหนดชั้นประจำตัวราชการ และเทียบตำแหน่งเข้าสู่ชั้นยศ กล่าวคือ ชั้นประจำตัวข้าราชการ จะมี 5 ชั้น คือ ชั้นจัตวา ชั้นตรี ชั้นโท ชั้นเอก และชั้นพิเศษ กำหนดเงินเดือน ให้ได้รับตามชั้นทั้ง 5 และกำหนด ให้มีตำแหน่งหลัก 6 ตำแหน่ง คือ เสมียนพนักงาน ประจำแผนก หัวหน้าแผนก หัวหน้ากอง อธิบดี  และปลัดกระทรวง อีกทั้งกำหนดว่าตำแหน่งใด ให้แต่งตั้งจากข้าราชการชั้นนั้น
ในยุคนี้เป็นยุคที่อำนาจของ ก.พ. ถูกลดและเพิ่มสลับกันเป็นระยะ ๆ  เนื่องจากพอให้อำนาจ ก.พ. มาก ราชการก็ล่าช้า พอกระจายอำนาจไปที่กระทรวง ทบวง กรม ก็มีข้อครหาเรื่องไม่เป็นธรรม  เล่นพรรคเล่นพวก เหลื่อมล้ำไม่ได้มาตรฐาน ยิ่งเมื่อมีการแยกข้าราชการออกมากประเภทและมีการตั้ง  องค์การบริหารงานบุคคลแยกออกจาก ก.พ. จึงเกิดปัญหาขาดเอกภาพ เหลื่อมล้ำไม่เป็นธรรม  ไม่เป็นมาตรฐานเดียวกันมากยิ่งขึ้น ปลายยุคนี้ได้มีข้าราชการเพิ่มขึ้นอีก 2 ประเภท คือ มีการออกกฎหมาย  จัดระเบียบข้าราชการอัยการ (พ.ศ. 2503)  และข้าราชการพลเรือนในมหาวิทยาลัย (พ.ศ. 2507)
5.   ยุคระบบจำแนกตำแหน่ง (พ.ศ. 2518 – ปัจจุบัน)
ใน พ.ศ. 2518  ได้มีการประกาศใช้ พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2518     เป็นกฎหมายหลักในการบริหารงานบุคคลของข้าราชการพลเรือน กฎหมายฉบับนี้เปลี่ยนหลักการสำคัญ     ที่เดิมเคยยึดคนเป็นหลัก มาเป็นยึดงานเป็นหลัก โดยอาจถือได้ว่า การเปลี่ยนแปลงตามพระราชบัญญัติ    ฉบับนี้เป็นการปฏิรูปการบริหารงานบุคคลในราชการครั้งสำคัญ ซึ่งสาระสำคัญของการเปลี่ยนแปลง มีที่น่าสนใจ ดังนี้
1) ยกเลิกชั้นประจำตัวข้าราชการมาใช้เป็นระบบตำแหน่งตามหลักระบบจำแนกตำแหน่ง
(Position  Classification)  โดยกำหนดให้มี 11 ระดับ
2) กำหนดให้ข้าราชการได้รับเงินเดือนตามระดับตำแหน่ง
3) หลักการให้ข้าราชการประจำมีความเป็นกลางทางการเมือง
4) เปลี่ยนหลักการเลือกสรรบุคคลเข้าดำรงตำแหน่ง โดยอาจใช้วิธีการสอบหรือคัดเลือกได้
ตามเหตุผลหรือความจำเป็นของแต่ละตำแหน่ง และยังเปิดโอกาสให้บรรจุคนเข้ารับราชการ ในระดับตำแหน่งสูง ๆ ในฐานะผู้ทรงคุณวุฒิด้วย
5) นำหลักการสับเปลี่ยนหมุนเวียนตำแหน่งบริหารทุก 4 ปี มาใช้
นอกจากนี้ยังมีการเปลี่ยนแปลงในด้านองค์ประกอบของคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน(ก.พ.) มีการปรับปรุงหน้าที่ความรับผิดชอบของสำนักงาน ก.พ. และการปรับปรุงระเบียบวินัย และการอุทธรณ์ ตลอดจนมีการสร้างระบบร้องทุกข์ขึ้นมาเป็นครั้งแรก อีกทั้งยังกำหนด ให้มีการประเมินผลงานเพื่อเลื่อนขั้นเงินเดือนประจำปี ตลอดจนยกเลิกข้าราชการวิสามัญอีกด้วย
กล่าวได้ว่า ในยุคนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในระบบบริหารงานบุคคลภาครัฐ มีการแยกประเภทข้าราชการใหม่เพิ่มอีก 4ประเภท คือ ข้าราชการเมืองตาม พระราชบัญญัติระเบียบ ข้าราชการ พ.ศ. 2518 ข้าราชการรัฐสภาตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการสภา พ.ศ. 2518 ข้าราชการครูตามพระราชบัญญัติข้าราชการครู พ.ศ.2521 และข้าราชการตำรวจ ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการตำรวจ พ.ศ. 2521

กระบวนการบริหารงานบุคคล
กระบวนการบริหารงานบุคคลนั้น เกี่ยวข้องกับการดำเนินการในหลายขั้นตอนที่สำคัญ ดังนี้
1.  การวางแผนกำลังคน
2. การกำหนดตำแหน่ง
3.  การกำหนดค่าตอบแทน
4.  การสรรหาและคัดเลือก
5.  การพัฒนาบุคลากร
6.  การประเมินผลปฏิบัติงาน
7.  การเลื่อนตำแหน่ง
8.  การโอน หรือย้าย
9.  ขวัญและวินัย
10.  การพ้นจากราชการ ระบบบำเหน็จบำนาญ

องค์การกลางการบริหารงานบุคคล
องค์การกลางบริหารงานบุคคลภาครัฐ (Central  Personnel  Agency)  เป็นกลไกสำคัญในการ   ควบคุมและกำกับดูแลให้การบริหารงานบุคคลภาครัฐเป็นไปอย่างมีมาตรฐาน แนวความคิดการจัดตั้ง      องค์กรกลางบริหารงานบุคคล เพื่อให้มีความเป็นกลางได้จริง จึงควรเป็นหน่วยงานอิสระที่ไม่ขึ้นกับ ฝ่ายบริหาร หรืออยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของฝ่ายบริหารโดยตรง จะได้พ้นจากอิทธิพลของฝ่ายบริหาร    ในบางประเทศโดยเฉพาะที่ยึดรูปแบบการบริหารงานบุคคลในสมัยดั้งเดิมมักจัดองค์กลาง  ในรูปคณะกรรมการ คือ “Civil Service Commission” ซึ่งจะมุ่งเน้นภาระหน้าที่ ในด้านการเลือกสรรบุคคลเข้ารับราชการและหน้าที่สำคัญอื่น ๆ ในการบริหารงานบุคคลภาครัฐ ในบางประเทศอาจมีองค์การกลาง บริหารงานบุคคลหลายองค์การ เพื่อแบ่งภาระหน้าที่ ในการดูแลระบบบริหารงานบุคคลภาครัฐประเภทต่าง ๆ ให้เกิดมาตรฐานเดียวกัน ภายในข้าราชการที่จัดไว้ในกลุ่มงานเดียวกัน แต่จุดสำคัญของระบบ    บริหารงานบุคคลภาครัฐก็คือ การรวมอำนาจ (Centralized System) เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม  และมาตรฐานในการปฏิบัติการ    ต่อบุคคลทุกคนที่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ
แต่ก็มีหลายประเทศที่นิยมจัดรูปแบบองค์การกลางบริหารงานบุคคลในลักษณะการ กระจายอำนาจ(DecentralizedSystem)คือมีหลายองค์การกลางบริหารงานบุคคลเพื่อช่วยกันรับผิดชอบ ในกิจกรรมการบริหารงานบุคคล เรื่องต่าง ๆ โดยมักจะคงบางส่วนซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับนโยบายมาตรฐาน และการพิทักษ์ระบบคุณธรรมไว้เป็นส่วนกลาง แล้วกระจายความรับผิดชอบ ในด้านดำเนินการ บริหารงานบุคคล   เฉพาะเรื่องให้องค์การอื่นมอบให้แก่ส่วนราชการต่าง ๆ รับไปดำเนินการเอง
สำหรับประเทศไทยได้แบ่งแยกองค์การกลางบริหารงานบุคคลออกตามประเภท ข้าราชการ ในรูปแบบของคณะกรรมการข้าราชการประเภทต่าง ๆ โดยแต่ละองค์การกลางต่างมีอิสระ ในการกำหนดนโยบาย กฎระเบียบและหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการบริหารงานบุคคล สำหรับประเภทข้าราชการที่อยู่ในความรับผิดชอบ
หน้าที่และบทบาทขององค์การกลางบริหารงานบุคคลโดยทั่วไปแล้วจะมีหน้าที่ต่าง ๆ ดังนี้
1.  กำหนดนโยบายด้านการบริหารงานบุคคลภาครัฐ
2.  เป็นที่ปรึกษาของฝ่ายบริหารในการดำเนินการด้านการบริหารงานบุคคลภาครัฐ
3.  พิทักษ์รักษาระบบคุณธรรมในการบริหารงานบุคคลภาครัฐ
4.  ออกกฎระเบียบ และควบคุมให้มีการปฏิบัติตาม
5.  ดำเนินการในบางเรื่องที่เป็นเรื่องสำคัญของกระบวนการบริหารงานบุคคล เช่น การดำเนินการสรรหาบุคคลมาทำงาน การกำหนดตำแหน่งและอัตราเงินเดือน เป็นต้น
องค์การกลางการบริหารงานบุคคลของข้าราชการฝ่ายพลเรือนของไทยเท่าที่มีอยู่ในปัจจุบันต่างก็มีบทบาทอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายหลักการบริหารงานบุคคลของตนเอง ซึ่งต่างก็พยายามจะให้มีอิสระ    และให้สิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ข้าราชการฝ่ายตนมากที่สุด ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำในหลาย เรื่องในการบริหารงานบุคคลของข้าราชการของรัฐอีกทั้งยังคงมีการแทรกแซงจากฝ่ายการเมือง อยู่เป็นประจำดังนั้นแม้จะพยายามจะนำระบบคุณธรรมมาใช้แต่ก็ยังไม่อาจกำจัดระบบอุปถัมภ์ให้พ้นจากวงราชการ ได้อย่างเด็ดขาด

หางานทำ หางานทำที่บ้าน งานพิเศษ หลังเลิกงาน หลังเลิกเรียน ทำที่บ้าน

หางานทำ หางานทำที่บ้าน งานพิเศษ หลังเลิกงาน หลังเลิกเรียน ทำที่บ้าน

หางานทำ หางานทำที่บ้าน งานพิเศษ หลังเลิกงาน หลังเลิกเรียน ทำที่บ้าน แนะนำผู้ที่ต้องการ หางานทำ รับงานกับไปทำที่บ้านได้ งานทำหลังเลิกงาน หลังเลิกเรียน เป็นงานพิเศษ รายได้ดี จ่ายรายวัน เพียงแค่คุณใช้คอมพิวเตอร์เป็น ทางเรามีการสอนงานให้ เริ่มงานได้ทันที เหมาะสำหรับบุคคลทั่วไป ที่กำลัง หางานทำที่บ้าน ไม่กระทบกับการทำงานและการเรียน สนใจติดต่อ

หางานทำ หลังเลิกเรียน หลังเลิกงาน งานพิเศษ ทำที่บ้าน >รับจำนวนมาก< รายได้ดี

หางานทำ หลังเลิกเรียน หลังเลิกงาน งานพิเศษ ทำที่บ้าน >รับจำนวนมาก< รายได้ดี

หางานทำ หลังเลิกเรียน หลังเลิกงาน งานพิเศษ ทำที่บ้าน >รับจำนวนมาก< เพียงแค่คุณสามารถใช้คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ตเป็น เริ่มงานได้ทันที งานง่ายๆ รับงานทำที่บ้าน รายได้ดี จ่ายรายวัน สนใจติดต่อ

หางานทำ : งานทำที่บ้าน งานเสริม เสาร์อาทิตย์ รับงานทำที่บ้านได้ จ่ายรายวัน

หางานทำ : งานทำที่บ้าน งานเสริม เสาร์อาทิตย์ รับงานทำที่บ้านได้ จ่ายรายวัน

หางานทำ : งานทำที่บ้าน งานเสริม เสาร์อาทิตย์ รับงานทำที่บ้านได้ เป็นรายได้พิเศษ งานทำช่วงเวลาว่าง เป็นงานคีย์ข้อมูล พิมพ์งาน เพียงแค่คุณใช้คอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ตเป็น สามารถรับงานกับไปทำที่บ้านได้ งานง่ายๆ รายได้ดี จ่ายรายวัน สนใจติดต่อค่ะ

หางานทำ : งานทำที่บ้าน หลังเลิกงาน หลังเลิกเรียน รายได้พิเศษ >รับจำนวนมาก< สนใจติดต่อค่ะ

หางานทำ : งานทำที่บ้าน หลังเลิกงาน หลังเลิกเรียน รายได้พิเศษ >รับจำนวนมาก< สนใจติดต่อค่ะ

เปิดรับสมัครตั้งแต่วันนี้ แนะนำผู้ที่สนใจ หางานทำ : งานทำที่บ้าน หลังเลิกงาน หลังเลิกเรียน ทำงานเป็นรายได้พิเศษ ในช่วงเวลาว่าง เสาร์ อาทิตย์ เพียงแค่คุณใช้คอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ตเป็น สามารับงานกับไปทำที่บ้านได้ งานง่ายๆ รายได้ดี จ่ายรายวัน >รับจำนวนมาก< สนใจติดต่อค่ะ